เพิ่มโอกาสกู้วิกฤติ นวัตกรรมช่วยชีวิต "ลากก้อนเลือด" จากสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง นับเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนเสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นภาวะ หลอดเลือดสมองอุดตัน หลอดเลือดสมองตีบ หรือ หลอดเลือดสมองแตก ซึ่งปัจจุบัน แนวทางการรักษาก็ขึ้นอยู่กับอาการเป็นหลัก เน้นการรักษาที่ตรงจุด แต่ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการรักษาโรคกระกูลนี้ ก็คือ "เวลา" เพราะ ยิ่งผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลือเร็วเท่าไรหลังจากมีอาการ ก็จะยิ่งมีโอกาสทำให้ผู้ป่วยหายดีหรือกลับมาเป็นปกติได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในทุกวันนี้ ได้มีอีกหนึ่งนวัตกรรมที่เป็นตัวช่วยทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคหลอดเลือดทางสมองที่เพิ่มโอกาสการรักษาให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือ "การลากก้อนเลือด"
การลากก้อนเลือด คือ อะไร?
นพ. สุรัตน์ บุญญะการกุล ผู้อำนวยการศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้อธิบายถึง"การลากก้อนเลือด" หรือ "Clot Retrieval" ว่า เป็นนวัตกรรรมการรักษาโรคหลอดเลือดสมองชนิดอุดตัน โดยนำก้อนเลือดที่อุดตันออกจากหลอดเลือดสมองโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ เพื่อเปิดทางให้เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงเซลล์สมองในบริเวณที่ขาดเลือดได้อีกครั้ง ทำให้สมองได้มีโอกาสฟื้นตัว กลับมาทำงานได้ดีขึ้น
โรคหลอดเลือดสมองชนิดอุดตัน เกิดจากอะไร?
โรคหลอดเลือดสมองมี 2 ชนิด คือ หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) และหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) ซึ่งโรคหลอดเลือดสมองทั้ง 2 ชนิด ทำให้สมองขาดเลือด มีผลให้การทำหน้าที่ของสมองบริเวณนั้นสูญเสียไป ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกันมาก เช่น หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ไม่มีแรง พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ปวดศีรษะ เป็นต้น
หลอดเลือดสมองชนิดอุดตัน มาจาก 2 สาเหตุ
- 1. หลอดเลือดสมองมีคราบไขมันสะสม (Plaque) ที่ผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้เกิดความนูนหนาขึ้นของผนังหลอดเลือดด้านใน มีผลให้รูของหลอดเลือดแคบลง เรียกว่า หลอดเลือดสมองตีบ การสะสมของคราบไขมันที่ผนังหลอดเลือด จะทำให้คุณสมบัติของหลอดเลือดเปลี่ยนแปลงไป คือ ผนังหลอดเลือดเปราะ แตกง่าย ขาดความยืดหยุ่น เมื่อเกิดการปริแตกของผนังหลอดเลือด ร่างกายจะสร้างลิ่มเลือดมาเกาะ เมื่อลิ่มเลือดมีขนาดใหญ่ขึ้น จะทำให้หลอดเลือดอุดตัน ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงสมองได้ พบบ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
- 2. สาเหตุของลิ่มเลือดอุดตัน หลอดเลือดสมองอีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือ การที่มีลิ่มเลือด หลุดมาจากอวัยวะอื่นๆภายนอกสมอง ที่พบบ่อย คือผู้ที่เป็นโรคหัวใจที่ทำให้การไหลเวียนของเลือดในหัวใจไม่ปกติ จึงเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ แล้วหลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง เช่น ผู้ที่เป็นโรคหัวใจแบบสั่นพริ้ว (Atrial Fibrillation) เป็นต้น
อาการโรคหลอดเลือดสมอง สังเกตได้อย่างไรบ้าง?
สำหรับแนวทางในการสังเกตอาการของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองนั้น นพ. สุรัตน์ บุญญะการกุล ผู้อำนวยการศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้อธิบายว่า อาการของผู้ป่วยจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสมองที่สูญเสียหน้าที่ไปจากการขาดเลือด โดยมีอาการที่พบ ได้แก่
- 1. ปากเบี้ยว
- 2. แขนขาอ่อนแรง
- 3. พูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ บางรายอาจมีอาการเปลี่ยนแปลงเร็ว พูดไม่ได้
- 4. แขนขาขยับไม่ได้
- 5. ซึมลง ไม่รู้สึกตัว
- การหายใจผิดปกติ
ทั้งนี้ บางรายเมื่อเกิดอาการแล้วไม่ได้รับการรักษาที่ทันการณ์ อาจทำให้เสียชีวิตได้ แต่บางรายอาจมีอาการเพียงแค่ชั่วคราว แล้วดีขึ้นเองภายใน 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะมีอาการหนัก เบา หรือมีอาการชั่วคราว เมื่อสังเกตพบว่ามีอาจการดังกล่าวข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญทางสมองและระบบประสาทโดยด่วน
วินิจฉัยอย่างไร ถึงรู้ว่าใช่โรคหลอดเลือดสมอง?
ในการจะรักษาโรคใดสักโรคหนึ่ง นพ. สุรัตน์ บุญญะการกุล ผู้อำนวยการศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้อธิบายว่า ก่อนที่แพทย์จะให้การรักษาใดๆ แพทย์จะต้องวินิจฉัยให้ทราบแน่ชัดก่อนเสมอเสมอ ยิ่งกับโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งมี 2 ชนิด และมีอาการที่คล้ายคลึงกัน จึงต้องยิ่งวินิจฉัยให้ละเอียด เพื่อจะได้ใช้การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม เพราะแต่ละชนิดมีวิธีการรักษาแตกต่างกัน
ดังนั้น แพทย์จึงต้องให้ความสำคัญกับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยมีแนวทางดังนี้
- 1. ทำการประเมินอาการ ซักประวัติ ระยะเวลาของการเริ่มมีอาการ
- 2. ซักประวัติโรคประจำตัว ประวัติการรับประทานยา ประวัติการผ่าตัด
- 3. ตรวจเลือด เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
- 4. เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
ซึ่งในขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยนี้ ทีมแพทย์ต้องทำงานอย่างเร่งด่วน รอบคอบ สอดประสานกันอย่างดีด้วยการจัดเตรียมช่องทางลัดด่วนพิเศษ สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เรียกว่า "Stroke Fast Tract" โดยเมื่อมีการประกาศ "Stroke Alert" ให้ทราบทางเสียงตามสาย ทุกแผนกที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทันที
ทำไมผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะวิกฤตจะต้องได้รับการรักษารีบด่วน?
เนื่องจากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีนตันโดยปกติแล้วจะรักษาโดยให้ยาละลายลิ่มเลือด ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งทางการแพทย์ได้พิสูจน์มาแล้วว่า เมื่อใช้ยานี้อย่างถูกต้องทันท่วงที และได้ผลดีที่สุดเมื่อให้ยาภายใน 3 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ แต่ยานี้จะไม่ได้ผล และเสี่ยงอันตรายหากให้ยา เมื่อผู้ป่วยมีอาการนานเกิน 6 ชั่วโมงไปแล้ว
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีผู้ป่วยส่วนมากมาไม่ทันเวลา สำหรับรับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด ควรเผื่อเวลาไว้สำหรับรับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด ควรเผื่อเวลาไว้สำหรับการจราจรระหว่างเดินทาง มีเวลาสำหรับแพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยให้ชัดเจนพิจารณาถึงข้อบ่งชี้ และข้อห้ามของการให้ยาอย่างละเอียด เพราะยามีผลข้างเคียงที่สำคัญ ทำให้เลือดออกง่ายซึ่งต้องตรวจให้ถี่ถ้วนเพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้ป่วย
เมื่อไร ถึงใช้วิธี "ลากก้อนเลือดในการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง?"
สำหรับผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลไม่ทันต่อการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด หรือบางรายให้ยาละลายลิ่มเลือดรักษาแล้วไม่ได้ผลเท่าที่ควรเนื่องจากลิ่มเลือดมีขนาดใหญ่ แพทย์สามารถพิจารณา การรักษาด้วยหัตถการ "ลากก้อนเลือด" ซึ่งมีเวลาให้ แพทย์รักษาได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง นับจากเริ่มมีอาการ
นพ. สุรัตน์ บุญญะการกุล ผู้อำนวยการศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน ด้วยวิธีลากก้อนเลือด ว่า การรักษาด้วยวิธี ลากก้อนเลือด (Clot Retrieval) ที่ว่านี้ ในอเมริกา ทำมานานเกือบ 10 ปีแล้ว สำหรับประเทศไทย เพิ่งเริ่มทำประมาณ 2 ? 3 ปี เท่านั้น และการรักษาวิธีนี้ (Clot Retrieval) ในปัจจุบันมีเฉพาะในโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลเอกชน ขนาดใหญ่เท่านั้น เนื่องจากแพทย์ผู้ให้การรักษาจะต้องมีทักษะเชี่ยวชาญและมีความพร้อมของอุปกรณ์ ซึ่งแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำหัตถการลากก้อนเลือด ในประเทศไทยก็มีเพียงไม่กี่คนในปัจจุบัน
ต้องมีหมอกี่คน ในการรักษาด้วยวิธีลากก้อนเลือด?
การลากก้อนเลือด เป็นหัตถการที่ต้องอาศัย ทักษะ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของรังสีแพทย์ เฉพาะทางรังสีร่วมรักษา (Interventional Radiology) ซึ่งต้องมีความรู้ ของหลอดเลือดและการเอกซเรย์พิเศษต่างๆ และต้องอาศัยการทำงานประสานกันเป็นทีมของบุคลากรอื่นๆ เช่น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางสมองและระบบประสาท วิสัญญีแพทย์ พยาบาลวิชาชีพ สำหรับดูแลผู้ป่วยระหว่างการทำหัตถการและการตรวจประเมินสัญญาณชีพต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยในระหว่างการทำหัตถการ
ต้องใช้เครื่องมือใดบ้างในการลากก้อนเลือด?
อุปกรณ์สำคัญสำหรับหัตถการ "ลากก้อนเลือด" ได้แก่เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดที่มีระบบเก็บภาพที่มีรายละเอียดสูง เป็นระบบดิจิตอล สร้างภาพ 3 มิติ ทำให้แพทย์สามารถเห็นตำแหน่งของหลอดเลือดที่อุดตัน สามารถทำการรักษาได้ตรงจุด
มีขั้นตอนอย่างไร ในการลากก้อนเลือด?
นพ. สุรัตน์ บุญญะการกุล ผู้อำนวยการศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้อธิบายถึงวิธีการรักษาโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน ด้วยการ "ลากก้อนเลือด" ว่า มีขั้นตอนในการทำ ดังนี้
- 1. เริ่มจากวิสัญญีแพทย์ให้ยาระงับความรู้สึก หรือวางยาสลบ
- 2. แพทย์เฉพาะทางทำความสะอาดผิวหนัง บริเวณขาหนีบ
- 3. กรีดผิวหนังเป็นแผลขนาดเล็ก สำหรับสอดสายสวนขนาดเล็กๆ ยาวๆ ที่มีลักษณะนิ่ม ยืดหยุ่น โค้งงอได้ตาม ลักษณะของหลอดเลือด
- 4. ใส่สายสวนเข้าทางหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ขาหนีบ โดยแพทย์ใส่สายสวนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตำแหน่งที่ ก้อนเลือดอุดตันที่หลอดเลือดในสมอง โดยเห็นได้จากภาพเอกซเรย์
- 5. ใส่ขดลวดขนาดเล็กผ่านเข้าไปในสายสวนจนถึงตำแหน่งของก้อนเลือด
- 6. ทำการปล่อยขดลวดเล็กๆ (Stent) ให้ค่อยๆ กางออกในลักษณะคล้ายตาข่ายหรือตะกร้อขนาดเล็ก เพื่อให้ ขดลวดสามารถเกาะจับก้อนเลือดได้
- 7. หลังจากนั้น แพทย์จะค่อยๆ ลากดึงขดลวดซึ่งมีก้อนเลือดเกาะติดอยู่ในส่วนปลาย ผ่านออกมาทางสายสวน
- 8. ลากก้อนเลือดออกจากร่างกายผู้ป่วยผ่านออกมาทางหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบพร้อมกันทั้งก้อนเลือดและ ขดลวด
- 9. ดึงสายสวนออกจากร่างกายผู้ป่วยทางขาหนีบ
- 10. เมื่อแพทย์นำก้อนเลือด ขดลวดและสายสวนออกจากผู้ป่วยแล้ว พยาบาลจะกดห้ามเลือดที่ขาหนีบไว้ * ประมาณ 10 ? 15 นาที จนกว่าจะแน่ใจว่าเลือดหยุดไหลออกจากแผลเล็กๆที่ขาหนีบ
- * ปิดแผลด้วยผ้าก๊อสสะอาดขนาดเล็ก
- * ผู้ป่วยต้องนอนราบบนเตียง ห้ามงอขาข้างที่ใส่สายสวนประมาณ 8 ? 12 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ แพทย์)
- * พยาบาลจะตรวจวัดสัญญาณชีพเป็นระยะ และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อดูแลให้ผู้ป่วยปลอดภัยจาก ภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะเลือดออกจากแผล เป็นต้น
ภายหลังทำหัตถการลากก้อนเลือดออกจากหลอดเลือดสมองแล้ว แพทย์มักจะให้ผู้ป่วยนอนพักที่หอผู้ป่วยระยะวิกฤต เพื่อสังเกตอาการเลือดออกบริเวณแผลและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนเลือดออกในสมอง เฝ้าสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทางสมอง ตรวจสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง หากประเมินแล้วว่าผู้ป่วยปลอดภัยดี แพทย์จึงจะอนุญาตย้ายให้ไปนอนพักฟื้นที่หอผู้ป่วยปกติได้
การดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองอุดตันอย่างไร เมื่อแพทย์ให้กลับบ้านได้?
สำหรับแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหลังได้รับอนุญาติให้กลับบ้านได้ นั้น นพ. สุรัตน์ บุญญะการกุล ผู้อำนวยการศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้แนะนำแนวทางปฏิบัติ เอาไว้ ดังนี้
- 1. สิ่งสำคัญที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน คือ การควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดโรคซ้ำขึ้นอีก ด้วยการควบคุมโรคประจำตัวของผู้ป่วย ด้วยรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์ รักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจบางชนิด เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะแบบสั่นพริ้ว
- 2. การดูแลในเรื่องการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย งดอาหารไขมันสูง งดอาหารเค็มจัด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง งดอาหารหวานจัด ซึ่ง เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคอ้วนและโรคเบาหวาน ควรเน้นการรับประทานอาหารประเภทที่มีกากใยสูง มีวิตามิน เกลือแร่สูง ได้แก่ ผัก ผลไม้ ธัญพืช
- 3. การปรับเปลี่ยนวิถีดำรงชีวิต ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ และควรผ่อนคลายความเครียด
- 4. หากยังมีอาการของอัมพฤกษ์ อัมพาต หลงเหลือ เมื่อกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ควรทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง ตามที่นักกายภาพบำบัดแนะนำ หรือบางกรณีอาจนัดหมายให้มาทำกายภาพบำบัดต่อที่โรงพยาบาล เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ ช่วยให้การฟื้นฟูร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- 5. สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การดูแลทางด้านจิตใจ การให้กำลังใจผู้ป่วย เพื่อให้ความร่วมมือในการรักษาและการใส่ใจดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ
ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ปลอยภัยจากอัมพฤกษ์ อัมพาต?
นพ. สุรัตน์ บุญญะการกุล ผู้อำนวยการศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้แนะนำว่า ถึงแม้ การลากก้อนเลือด จะเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดี และมีโอกาสสูงที่จะทำให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองกลับมาหายดีได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้เรา ไม่ต้องเสี่ยงกับ อัมพฤกษ์ อัมพาต จากโรคหลอดเลือดสมอง ก็คือการดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถป้องกันได้ โดยมีแนวทาง ดังนี้
- 1. ต้องเรียนรู้ สัญญาณเตือนของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
- 2. ไปพบแพทย์ให้ไวเมื่อมีสัญญาณอันตรายเกิดขึ้นแล้ว
- 3. ต้องปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันควบคุมโรค ที่เป็นความเสี่ยงของตนเอง
- 4. ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละ 30 นาที
- 5. ลดการบริโภคอาหาร หวาน มัน เค็ม
- 6. เพิ่มการรับประทานผักผลไม้ งดการดื่มแอลกอฮอล์
- 7. งดการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- 8. หาวิธีผ่อนคลายความเครียด
- 9. พักผ่อนให้เพียงพอ
ทั้งนี้ เราควรตรวจสุขภาพประจำปี วัดความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือด โดยหากพบผลตรวจผิดปกติ ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที จะช่วยป้องกันความพิการ หรือการเสียชีวิต จากโรคหลอดเลือดสมองได้